38 Drinks: ‘ฮีโร่’ สู่ตัวตลก แต่วกกลับมาเป็น ‘ฮีโร่’

หากจะพูดถึงผู้จัดการทีมที่มากประสบการณ์ยาวนานที่สุดใน พรีเมียร์ลีก ณ ปัจจุบัน เห็นทีคงจะไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าชื่อนั้นต้องเป็นนามของ ‘เดวิด มอยส์’
กุนซือที่นามสกุลคล้าย ๆ ขนเพชรรายนี้ เริ่มทำงานคุมทีมบนลีกสูงสุดแดนผู้ดีตั้งแต่ปี 2002 เทียบให้เห็นชัด ๆ ก็คือ ฟาเบียน เฮอร์เซเลอร์ ผู้จัดการทีมคนปัจจุบันของ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน ยังไม่ทันเข้าสู่ทีมเยาวชนในบ้านเกิด
ชีวิตช่วงเริ่มต้น
เดวิด มอยส์ แขวนสตั๊ดในปี 1998 ปีเดียวกันกับที่ทีมชาติฝรั่งเศสได้แชมป์ฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก โดยรอยต่อของอาชีพผู้จัดการทีมของเขาเกิดขึ้นที่ เพรสตัน นอร์ธ เอนด์ ในขณะที่เจ้าตัวยังมีชื่อเป็นนักเตะ แต่ว่า แกรี่ ปีเตอร์ ผู้จัดการทีมในขณะนั้นก็ไม่เอาอ่าวจนเกือบจะตกชั้น ส่งผลให้เขาต้องก้าวขึ้นมาทำหน้าที่แทน
เขากลายเป็นกุนซือหนุ่มที่พาทีมรอดตกชั้นจาก ดิวิชั่น 2 แล้วก็พาทีมทะยานขึ้นสู่ ดิวิชั่น 1 และเกือบที่จะได้เลื่อนชั้นสู่ พรีเมียร์ลีก แต่ว่าปราชัยไปอย่างน่าเสียดาย
แต่เมื่อคนมันมีของ ในที่สุดเมื่อปี 2002 ตัวเขาก็ได้เลื่อนขั้นสู่ลีกสูงสุดของแดนผู้ดี โดยเป็นทาง เอฟเวอร์ตัน ที่ชักชวนไปร่วมงาน และเขาก็ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง โดยเฉพาะในฤดูกาล 2004/05 ที่สามารถจบอันดับเหนือกว่า ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี นอกจากนั้นยังทำให้พวกเขาได้เข้าไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ก่อนที่จะตกรอบเพลย์ออฟในเวลาต่อมา
การทำงานของเขาในถิ่น กูดิสัน ปาร์ค อาจไม่ได้ดีแบบเว่อวัง แต่การคุมทีมที่มีทรัพยากรจำกัด ได้ตั๋วไปเล่นฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งคราว รวมไปถึงเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ทำให้การเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งสำคัญของเขามาถึง
ความล้มเหลวของอาชีพ
กุนซือสายเลือดวิสกี้ ได้รับงานอันยิ่งใหญ่ ซึ่งมาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง คือการเป็นผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้เลือกเขามาเองกับมือ ในปี 2013
แต่ด้วยแทคติคที่เคยใช้ได้ดีกับทีมเล็ก ใช้ว่ามันจะดีกับทีมใหญ่ เขาเปลี่ยนให้ทีมแชมป์เก่า จบที่ 7 ในปีต่อมา หรือจะเรียกว่าเปลี่ยน ‘ปีศาจ’ ให้เป็น ‘ท๊อฟฟี่’ ก็คงจะไม่ผิด จนต้องโดนตะเพิดพ้นจากตำแหน่งตั้งแต่ก่อนจบซีซั่น
แล้วชีวิตทำงานของเขาจากนั้นก็ล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนบรรยากาศไปคุมที่สเปนกับ เรอัล โซเซียดาด ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น เพราะแค่หนึ่งปีก็โดนไล่ออกอีกครั้ง
ซึ่งถ้าคุณคิดว่าตอนนั้นดิ่งแล้ว งานต่อไปกับ ซันเดอร์แลนด์ ช่วงกลางปี 2017 ยิ่งหนักกว่าเก่า เพราะเขาเข้ามารับเผือกร้อนต่อจาก แซม อัลลาไดซ์ แล้วก็ทำทีมตกชั้นอย่างน่าอับอาย
ต้องไม่ลืมนะครับว่า 4 ปีก่อนหน้านั้นเขาเพิ่งได้รับงานกับทีมแชมป์เก่า แต่ตอนนี้กลายเป็นคุมทีมหล่นไป แชมเปี้ยนชิพ
ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันไป
แต่ในที่สุด เดวิด มอยส์ ก็เจอที่ที่เหมาะสมกับเขาคือ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เขาเข้ามาขัดตาทัพพาทีมหนีตกชั้นได้สำเร็จ แต่ว่าหมดสัญญาก็แยกย้าย แต่คนมาแทนมันไม่เข้าตา จนในที่สุดเขาก็ได้กลับมา
เขาเปลี่ยนทัพ ‘ขุนค้อน’ ให้กลายเป็นของแสลงทีมใหญ่ และสามารถติดอันดับไปเล่นรายการยุโรปได้ทุกปี โดยผลงานชิ้นโบว์แดงก็คงจะหนีไม่พ้นการพาทีมคว้าแชมป์ ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ในปี 2023 อย่างยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสโมสร
วันคืนผืนเปลี่ยน เขาอำลาทีมจากกรุงลอนดอนอีกครั้ง และถึงแม้จะเข้าสู่วัยเกษียณ แต่เมื่อทีมที่เขาสร้างชื่อขึ้นมาอย่าง เอฟเวอร์ตัน ต้องการตัว เขาก็ไม่รีรอที่จะขานรับภารกิจหนีตกชั้นอีกครั้ง
ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าตอนจบของเขาจะเป็นอย่างไร แต่การเริ่มต้นอีกครั้งในสังเวียนเดิม เขาทำได้อย่างยอดเยี่ยม จนไม่จำเป็นต้องกลัวการหล่นไปอยู่กับบรรดาทีมหนีตายทั้งหลายแล้ว นอกจากนั้นยังเป็นเซี้ยนเม็ดเล็ก ๆ ที่แบ่งแต้มจาก ลิเวอร์พูล ในช่วงลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้อีกต่างหาก
จากกุนซือดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งของวงการฟุตบอล สู่คนที่ไม่ใช่กับทีมใหญ่ แต่แล้วเมื่ออะไร ๆ มันลงตัว เขาก็พิสูจน์ให้ได้เห็นว่าเขาก็เป็นของจริงคนหนึ่งกับชายที่ชื่อว่า ‘เดวิด มอยส์’
เขียนโดย The Lite Team.
38 Drinks

